พร้อมแล้ว ออกเดินทางจากเชียงใหม่ 11.30 น.ใช้เส้นทางเชียงใหม่ ลำพูน ลำปางจากลำปางไปแพร่ ลองวิ่งเข้าทางแพร่ (แยกซ้าย ถ้าตรงไปจะไปทางเด่นชัย) รถน้อยดีแต่ถนนค่อนข้างแคบ วิ่งเข้าตัวเมืองแพร่ แล้วเข้าเมืองน่าน 16.30 น. เหลือบไปเห็นสัญญาณไฟเลยเอามาฝากกันหน่อยแปลกตาดี อากาศที่นี่กำลังสบายไม่เย็นมาก
มาถึงแล้วที่พักของเรา "โรงแรมพูคาน่านฟ้า" ลักษณะอาคารไม้สักสามชั้นสวยงาม เปิดตั้งแต่ปี 2477 เก่าแก่มาก ตอนนี้ได้รับการปรับปรุงสไตล์ บูติด โฮเต็ล จองผ่าน Agoda แสนสะดวกสบาย


ที่จอดรถด้านหน้าโรงแรมหรือด้านหลังโรงแรมก็ได้ แต่ถ้าช่วงเทศกาลหาที่จอดยากหน่อย ไปคราวนี้ด้านหลังก็เต็ม เลยจอดด้านหน้าโรงแรม บรรยากาศภายในโรงแรม มีร้านขายของภูฟ้าด้วย
ห้องพักของเราอยู่บนชั้นสาม ตามกันไปเลย
บรรยากาศภายในห้อง ห้องพักสวยงาม เตียงใหญ่นุ่ม หมอนผ้านวมขนเป็ดป่าวเนี่ยะ ชอบมาก มีครบทั้ง แอร์ TV VDO ตู้เย็น ไดร์เป่าผม ตู้เซพ แถมยังมีข้าวหลามไว้คอยต้อนรับด้วย อร่อยมาก ที่ชอบใจในห้องก็คือ ไม่ขี้เหนียวปลั๊กไฟ มีเยอะมาก ชาร์ตแบตได้สบายเลยทีนี้ ส่วนของใช้ในห้องน้ำก็มีครบ ทั้งแชมพู ครีมอาบน้ำ โลชั่นทาผิว และมี Souvenir เป็นถุงสีเขียวภายในมีสบู่สปาหอม เอากลับบ้านได้ ถูกใจจริง
ออกมานอกห้องมีที่นั่งชมวิวด้านนอก เหมือนอยู่บ้านตัวเองอีกด้วยมีทั้งชั้นสองและชั้นสาม ด้านฝั่งตรงข้ามเป็นตลาด
เกือบลืม มัวแต่ชมความงามของที่นี่ อีกอย่างที่ต้องชมคือ พนักงานที่นี่อัธยาศัยดีมาก ยิ้มแย้ม และเป็นกันเองมาก ที่นี่ก็มีรถจักรยานให้บริการฟรีด้วย และมี Wifi ให้ใช้ ชั้นสามก็ใช้ได้นะ ที่สำคัญก็คือฟรี (ชอบของฟรี)ไหนๆ แล้วก็แนะนำในโรงแรมให้หมดเลยละกัน ห้องอาหารอยู่ชั้นล่าง นั้งได้ทั้งข้างในและข้างนอก อาหารเช้ามี ข้าวต้ม (อีกวันเป็นโจ๊ก) เกี๊ยวกุ้ง อันนี้อร่อยมาก ขนมปัง ขนมครก ปาท่องโก๋ มูสเล่ ผลไม้ ส่วน breakfast แบบอมเริกันก็สั่งได้ น้ำมีน้ำผลไม้ นมสด ชา กาแฟครบ อร่อยทุกอย่าง
เอาสัมภาระเก็บแล้ว เปลี่ยนชุดพระเพื่อความเป็นสิริมงคล จุดหมายที่แรกคือ วัดพระธาตุแช่แห้ง
วัดพระธาตุแช่แห้ง
วัดพระธาตุแช่แห้งเป็นวัดประจำจังหวัดน่านและเป็นวัดประจำวันของคนเกิดปีเถาะ เป็นที่นับถือสักการะบูชาของคนเมืองน่านและคนต่างถิ่นเจดีย์พระธาตุแช่แห้ง ลักษณะขององค์พระธาตุเป็นเจดีย์ทรงระฆัง ตามตำนานเดิมและพงศาวดารเมืองน่าน กล่าวว่า เจ้าพระยาการเมือง เจ้าผู้ครองนครปัวหรืออำเภอปัวในปัจจุบัน สร้างขึ้นในระหว่างปลายพุทธศตวรรษที่ 19 หลังจากนั้นมีการสร้างเสริมโครงสร้างหลายครั้งด้วยกัน ครั้งสุดท้าย เจ้าศรีสองเมืองได้สร้างเจดีย์องค์ปัจจุบันครอบองค์เดิม เมื่อ พ.ศ. 2153 หากว่าพูดถึงอายุของวัดพระธาตุแช่แห้งนี้ก็อายุราวๆ 600 ปีทีเดียว ประดิษฐานอยู่ที่วัดพระธาตุแช่แห้ง ตามพงศาวดารเมืองน่าน กล่าวว่า พญาการเมืองโปรดให้สร้างขึ้นเพื่อบรรจุพระธาตุที่ได้มาจากเมืองสุโขทัย ระหว่างปี พ.ศ. 1897-1901 ปัจจุบันองค์เจดีย์ตั้งอยู่บนฐานสี่เหลี่ยมจัตุรัส ยาวด้านละ 22.5 เมตร สูง 55.5 เมตร บุด้วยทองเหลืองหรือทองจังโก ลงรักปิดทองตลอดทั้งองค์ หากไปสักการะบูชาวัดพระธาตุแช่แห้งในวันที่แดดจัดท้องฟ้าโปร่ง เราจะสามารถเห็นความเรืองรองของวัดพระธาตุแช่แห้งได้ชัดเจนดั่งคำขวัญของเมืองน่านที่ว่า “แข่งเรือลือเลื่อง เมืองงาช้างดำ จิตรกรรมวัดภูมินทร์ แดนดินส้มสีทองเรืองรองพระธาตุแช่แห้ง”
วันนี้พระอาทิตย์ตกสวยงามจริง มัวแต่ชมความงาม ลืมถ่ายรูปเลย กะว่าพรุ่งนี้จะถ่าย ที่ไหนได้ วันรุ่งขึ้นฟ้าไม่เป็นใจแบบวันนี้
ขากลับที่พัก แวะเที่ยว "กาดหมั่วคัวศิลป์" แต่ก่อนเข้า ไปแวะสักการะที่วัดพระธาตุช้างค้ำฝั่งตรงข้ามก่อน ที่นี่ปิดสี่ทุ่มเห็นจะได้
วัดพระธาตุช้างค้ำ
เดิมชื่อ วัดหลวงกลางเวียง เจ้าผู้ครองนครน่าน พญาภูเข่ง เป็นผู้สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.1949 พระวิหารหลวงวัดพระธาตุช้างค้ำวรวิหาร เป็นวิหารขนาดใหญ่รูปทรงสร้างตามสถาปัตยกรรมทางภาคเหนือ ลักษณะภายในโอ่โถงด้านหน้ามีสิงห์คู่ยืนตรงเชิงบันใดด้านละตัว มีทางเข้า 3 ทาง ประตูกลางทำเป็นประตูใหญ่ และประตูเล็กอยู่ด้านซ้ายและด้านขวามีทางขึ้นเป็นประตูเล็ก ๆ ตรงข้ามพระประธานด้านทิศตะวันออกและตะวันตกอีก 2 ข้าง ทำหลังคาซ้อนกัน 2 ชั้น มุขลดด้านหน้าและด้านหลัง หน้าบันตีด้วยแผ่นกระดานเรียงต่อกัน แล้วประดับที่ขอบเสา ด้านหน้าทุกต้นตามลักษณะสถาปัตยกรรมล้านนาไทยภายในพระวิหารกว้างขวาง มีเสาปูนกลมขนาดใหญ่ ขนาด 2 คนโอบรอบ จำหลักลวดลายปูนปั้นนูนสูงไว้ เหนือจากระดับพื้นพระวิหาร 1.50 เมตร เป็นลวดลายกนอกระย้าย้อยเหมือนลวดลายที่เสาในวิหารวัดภูมินทร์
ข้ามไปอีกฝั่ง "กาดหมั่วคัวศิลป์" เป็นลานกว้างมีของมาขายทั้งอาหารและของที่ระลึก มีทุกวันศุกร์และวันเสาร์ มีลานสำหรับปูเสื่อนั่งทานอาหารและฟังคนตรีพื้นเมือง ส่วนของที่ระลึกก็มีทั้งเสื้อน่านและอื่นๆ ไม่เยอะมากเท่าไหร่ แต่อาหารดูน่าทานมาก ด้านฝั่งตรงข้ามเป็นที่ตั้งของวัดภูมินทร์ ด้านหน้าจะมีบูธขายข้าวหลามหลายรสชาติ เดินเที่ยววันนี้หมดแรงแล้ว กลับไปนอนที่พักก่อน พรุ่งนี้ค่อยลุยกันใหม่
วันที่สอง วันนี้ตั้งใจจะไปสักการะพระธาตและวัดสำคัญในเมืองน่าน และไปเที่ยวดอยพูคา
หลังจากทานอาหารเช้าที่พูคา น่านฟ้า เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เราก็ไปจุดเดิมเมื่อคืนตรง "กาดหมั่วคัวศิลป์" แต่ตอนนี้เป็นลานโล่ง จอดรถที่ศูนย์บริการท่องเที่ยวเพื่อเอาพาสปอร์ตท่องเที่ยวแบบ 1 วันและหลายวัน เอาไปประทับตราตามจุดต่างๆ เพื่อมาแลกของที่ระลึก เริ่มกันเลย ข้ามถนนไปวัดภูมินทร์
วัดภูมินทร์



![]() |
"ปู่ม่าน ย่าม่าน" ภาพเสียงกระซิบรักบรรลือโลก |

ข้ามฟากไปพิพิพภัณฑ์ฝั่งตรงข้าม ในนี้จะมีงาช้างดำ ของคู่บ้านคู่เมืองน่านอยู่ด้วย ภายในบริเวณ จะมีวัดที่เล็กที่สุดในโลกตั้งอยู่คือ วัดน้อย

วัดน้อย
เป็นวัดที่เล็กที่สุดในโลก ตั้งอยู่หน้าพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่านหรือเรียกแบบพื้นบ้านว่า “หอคำ” เดิมเป็นคุ้มของ เจ้าสุริยพงษ์ผริตเดช สร้างขึ้นเมื่อปี 2446 และที่หอคำนี้เองมีสิงศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองอยู่คือ “งาช้างดำ” ตามประวัติกล่าวว่า พญาการเมือง เจ้าผู้ครองนครน่าน เป็นผู้ที่ได้มาเมื่อประมาณปี 1896 เป็นงาข้างซ้ายปลียาว 94 เซนติเมตร วัดโดยรอบส่วนโคนได้ 47 เซนติเมตร น้ำหนัก 18 กิโลกรัม
เดินต่อไปถัดจากพิพิธภัณฑ์ ฝั่งตรงข้ามจะเจอวัดหัวข่วง
วัดหัวข่วง
วัดนี้ไม่ปรากฏว่าสร้างมาตั้งแต่สมัยใด มีเพียงหลักฐานว่าได้รับการบูรณะในราว พ.ศ. 2425 โดยเจ้าอนันตวรฤทธิเดช เจ้าเมืองน่าน และต่อมาราวปี พ.ศ.2472 ในสมัยเจ้ามหาพรหมสุรธาดา เจ้าผู้ครองน่าน องค์สุดท้าย
จากการสนทนากับพระและชาวบ้านในวัดหัวข่วง หัวข่วงหมายถึง ลานวัด ชื่อนี้จะมีอยู่หลายจังหวัดทางเชียงใหม่เองก็มี เดี๋ยวจะตามไปดู
จุดหมายต่อไป ไปที่วัดพญาภู ไม่ห่างกันมาก
วัดพญาภู
พระอารามหลวงที่ตั้งอยู่ในอำเภอเมืองน่าน เป็นวัดเก่าที่คาดว่านะจะมีอายุถึง 549 ปี ภายในวิหารมีพระพุทธรูปปางลีลา 2 องค์ ซึ่งมีจารึกสมัยสุโขทัยเขียนไว้ที่ฐานทั้งสององค์ว่า “สมเด็จพระยาลรผาสุมเสวยราชในนันทบุรี สถาปนาสมเด็จพระเป็นเจ้าห้าองค์ เพราะจักให้คงในศาสนาห้าพันปีนี้ เพื่อบุญจุลศักราช 788 มหาศักราช (พุทธศาสนา) 1970 เดือน 6 วันพุธ 7 ยาม ปรารถนาเห็นพระศรีอริยะไมตรีเจ้า” และที่วิหารแห่งนี้ยังมีประตูไม้สักแกะสลักที่มีอายุราว 200 ปีที่งดงามแปลกตาด้วยรูปยักษ์
จากนั้นเราเดินทางต่อไปที่วัดกู่คำ
วัดกู่คำ
พระเกศาธาตุและผ้าอาบน้ำทองคำของพระพุทธเจ้า ลักษณะเพดานในพระอุโบสถเป็นลายศิลปะม่าน พระประธานก่ออิฐถือปูนศิลปะน่าน มีธรรมาศเอกประดับกระจกสีแกะลายแบบม่านเก่าโบราณ พระพุทธรูปนั่งศิลปะสุโขทัยจีวรทองสำริดได้รับพระราชทานจากพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบรมฉายาลักษณ์รัชกาลที่ ๕ พระราชทานให้วัดกู่คำพร้อมกับศาลากลางเก่า ภายในบริเวณวัดมีเจดีย์พระธาตุเก่าแก่ กุฏิ พระรำพรรษาเป็นอาคารทรงปั้นหยา
ขับย้านไปทางเดิม ไปที่เสาหลักเมืองน่าน ซึ่งอยู่ภายในบริเวณวัดมิ่งเมือง
เสาหลักเมืองน่าน
เสาหลักเมืองน่าน ซึ่งแต่เดิมเรียกว่า “เสามิ่งเมือง” เดิมเป็น ไม้สักทองขนาดใหญ่ มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ ๓ ฟุต สูง ประมาณ ๓ เมตร ลักษณะเป็นเสาทรงกลมส่วนหัวเสาเกลาเป็น ดอกบัวตูมฝังไว้กับพื้นที่ดินโดยตรง ไม่มีศาลหรืออาคารครอบ แต่อย่างใด สันนิษฐานว่าอาจจะสร้างขึ้นในสมัยเจ้าอัตถวรปัญโญ เป็นเจ้าผู้ครองนครน่าน เหตุเพราะแต่ก่อนมานั้นเมืองน่านไม่มีคติ การสร้างเสาหลักเมือง
วัดมิ่งเมือง
วัดมิ่งเมืองเดิมเป็นวัดร้าง มีเสาหลักเมืองที่เป็นท่อนซุงขนาดใหญ่สองคนโอบ พบที่ซากวิหาร ในราวปี 2400 เจ้าอนันตวรฤทธิเดช เจ้าครองนครน่านสถาปนาวัดใหม่ ตั้งชื่อว่า วัดมิ่งเมือง ตามชื่อที่เรียกเสาหลักเมืองว่า เสามิ่งเมือง ต่อมาปี 2527 ได้มีการรื้อถอนและสร้างอุโบสถหลังใหม่เป็นแบบล้านนาร่วมสมัย
จุดหมายต่อไปเราจะออกไปนอกเมืองไปดอยพูคา ระหว่างทางผ่านวัดสวนตาล นมัสการพระเจ้าทองทิพย์ก่อน
วัดสวนตาล
ว่ากันว่าเป็นที่สุดท้ายของเจ้านายในสมัยก่อนเพราะเป็นวัดที่ใช้เป็นที่จุติก่อนขึ้นสวรรค์ สร้างขึ้นโดยพระนางปทุมวดี เมื่อ พ.ศ.1770 เจดีย์มีสัณฐานงดงาม ชั้นล่างมีซุ้มประตูทั้งสี่ทิศ จากภาพถ่ายในหอจดหมายเหตุแห่งชาติ รูปเจดีย์วัดสวนตาลก่อนการบูรณะในสมัยพระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดชฯ (ตรงกับรัชกาลที่ 5) เป็นเจดีย์ฐานสี่เหลี่ยมองค์พระเจดีย์เป็นทรงดอกบัวตูมหรือทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ สะท้อนให้เห็นอิทธิพลศิลปะสมัยสุโขทัย ภายในวิหารประดิษฐานพระพุทธรูปที่สำคัญ คือ พระเจ้าทองทิพย์ ซึ่งพระเจ้าติโลกราชแห่งนครเชียงใหม่ โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นในปี พ.ศ.1992 เป็นพระพุทธรูปทองสำริดองค์ใหญ่ปางมารวิชัย
เส้นทางไปดอยพูคา วิ่งไปทางด้านเหนือผ่านสนามบินน่านทางด้านขวามือไปทางอำเภอท่าวังผา และอำเภอปัว ระหว่างทางแวะที่ "หอศิลป์ริมน่าน" ทางด้านขวามือ
หอศิลป์ริมน่าน
โดยศิลปินชาวน่าน วินัย ปราบริปู ห่างจากตัวเมืองน่านประมาณ 20 กม.
จากนั้นไปต่อที่หมู่บ้านไทยลื้อ ที่อำเภอท่าวังผา หาอยู่ตั้งนานมีป้ายแต่ไม่รู้ว่าตรงไหน เลยไปที่วัดหนองบัวแทน
สักการะพระแล้วเดินไปทางด้านหลังดูของฝากที่ชาวบ้านทำ เลยถามทางไปหมู่บ้านไทยลื้อ เขาก็ตอบว่าก็นี่ไง เล่นเอางงเลยอยู่ภายในวัดนี่เอง
เที่ยงกว่าแล้ว กองทัพต้องเดินด้วยท้องว่าแล้วก็ขับรถไปหาของทานกันในตัวอำเภอท่าวังผา แวะ 7-11 ขับต่อไปอีกนิดเจอร้านส้มตำป้าต๋อย สั่งหมูสะเต๊ะ ขนมเบื้องญวน และที่ขาดไม่ได้ส้มตำเผ็ด .. มาแล้วส้มตำแดงมาทั้งจาน เผ็ดสมชื่อเลย ป้าต๋อยบอกว่าสั่งอย่างไรได้อย่างนั้น ฮ่าๆๆ กินได้นิดเดียวก็พอแล้วเผ็ดมาก ส่วนรูปไม่ทันได้ถ่ายมา ถึงจ้วงเอาเลย
ได้เวลาขึ้นดอยพูคาแล้ว ขับรถต่อไปทางอำเภอปัว แล้วยูเทิร์นกลับมาเลี้ยวเข้าเส้นทางไปอุทยานแห่งชาติพูคา ใช้เวลาประมาณเกือบชั่วโมงในการไต่เขาขึ้นไป ธรรมชาติสองข้างทางสวยงามและอากาศเย็นที่สำคัญ ด้านซ้ายก็หุบด้านขวาก็หุบเขา เสียววาปขาสั่น แทบจะกลับรถทีเดียว (กลัวความสูง)
และแล้วก็มาถึงอุทยานแห่งชาติดอยพูคา ไปช่วงนี้ยังไม่มีต้นชมภูพูคาให้ได้ชมดอกมัน แต่ก็มีนักท่องเที่ยวไปกางเต้นท์นอนเพื่อชมดาวกันที่นี่
กลับจากดอยพูคาระหว่างทางเข้าเมืองผ่านสนามบินน่าน ไม่ใหญ่มาก แล้วออกทางด้านหลัง ไปไหว้พระที่วัดพระเกิด ซึ่งมีศิลปล้ำค่าอยู่ที่นี่ พิพิธภัณฑ์ชุมชนบ้านพระเกิด
วัดพระเกิด
สร้างตั้งแต่ปี พ.ศ. 2370
พิพิธภัณฑ์ชุมชนบ้านพระเกิด
เป็นสถานที่เก็บสิ่งของเครื่องใช้และของล้ำค่าต่างๆ ที่อยู่ในวัดพระเกิดทั้งหมด

ออกจากวัดพระเกิดขับรถไปทางที่พัก จะเจอวัดหัวเวียงใต้
วัดหัวเวียงใต้
ศิลปแบบพม่า สวยงาม
ขับรถต่อไปที่วัดศรีพันต้น
วัดศรีพันต้น
สวยงาม เด่นเป็นสง่า เป็นวัดที่มีภาพเขียนภายในพระอุโบสถแสดงประวัติศาสตร์เมืองน่าน ภายนอกมีการตกแต่งงดงามและยังอยู่ในระหว่างการก่อสร้างเพิ่มเติม และยังมีเรือจอดในโรงเรือบ้านศรีพันต้น
จากนั้นขับรถไปวัดพระธาตุเขาน้อย ขับขึ้นไปด้านบนได้เลย แต่ถ้าเดินไหวก็จอดรถไว้ตรงทางขึ้นแล้วเดินขึ้นไป
วัดพระธาตุเขาน้อย
เป็นวัดราษฎร์ องค์พระธาตุตั้งอยู่บนยอดดอยเขาน้อย ซึ่งอยู่ด้านตะวันตกของตัวเมืองน่าน สร้างในสมัยเจ้าปู่แข็ง เมื่อปี พ.ศ. 2030 องค์พระธาตุเป็นเจดีย์ก่ออิฐถือปูนทั้งองค์ เป็นศิลปะพม่าผสมล้านนา ภายในบรรจุพระเกศาธาตุขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้รับการบูรณะปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่ในสมัยพระเจ้าสุริยพงศ์ผริตเดชฯ ระหว่างปี พ.ศ. 2449-2454 ประดิษฐานพระพุทธมหาอุดมมงคลนันทบุรีศรีน่าน ซึ่งเป็นพระพุทธรูปปางประทานพร บนฐานดอกบัวสูง 9 เมตร บนยอดพระเกศาทำจากทองคำ หนัก 27 บาท สร้างขึ้นเนื่องในมหามงคลที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ฯ ทรงเจริญพระชนมพรรษา 6 รอบ เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2542
เริ่มอิ่มหนังตาก็เริ่มหย่อน กลับที่พัก (ลืมไปเลยว่ายังมีกาดน่านอยู่อีก เสียดายทริปนี้ไม่ได้ไป)
วันที่สาม
เช้าวันนี้อากาศเย็นสบาย ลงมาทานอาหารเช้า วันนี้มีโจ๊ก อร่อยดี ทานครบทุกอย่าง จากนั้นก็เช็คเอ้าท์ออก
ไปแวะซื้อของฝากซะหน่อยที่ร้าน "จางตระกูล" อยู่ไม่ไกลฝั่งตรงข้ามก็จะมีร้านขายเครื่องเงินด้วย
เดินทางออกจากน่าน วิ่งกลับทางเดิมไปแพร่ แต่คราวนี้ไม่วิ่งผ่านตัวเมืองแพร่แล้ว เราวิ่งไปทางเด่นชัยแล้วเข้าลำปาง ระหว่างวางเห็นป้าย "ไส้กรอกเผาเตาดิน" เลยจอดแวะซื้อซะหน่อย ไส้กรอกเขาเหมือนกับไส้อั่วเลย แต่อร่อย และมีหมูยอ
จากนั้นเดินทางต่อเข้าสู่ลำปาง แวะที่กาดทุ่งเกวียน
กลับเชียงใหม่โดยสวัสดิภาพ
By otto
3-5 December 2011
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น